ในตลาดมีฟิล์มหลากหลายชนิด โดยทั่วไปแบ่งได้คือ
ฟิล์มย้อมสี ฟิล์มโลหะทั่วไป และฟิล์มเซรามิคอื่นๆ
ฟิล์มโลหะทั่วไปผลิตจากโลหะเช่น อลูมิเนียม นิกเกิ้ลหรือบรอนซ์ ซึ่งฟิล์มโลหะเหล่านี้สามารถผลิตให้สามารถลดความร้อนสูงได้แต่จะมีเงาสะท้อนสูงและค่อนข้างมืด รวมทั้งอาจรบกวนสัญญาณสื่อสารได้ด้วย ส่วนฟิล์มเซรามิคไม่มีเงาสะท้อน ความสามารถในการลดความร้อนจะขึ้นกับคุณสมบัติของฟิล์มว่ามีค่าการลดรังสีอินฟาเรดมากน้อยเท่าไหร่ เช่น ลดรังสีอินฟาเรดน้อยกว่า 80% ซึ่งทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกว่ายังลดความร้อนได้น้อย ฟิล์มเซรามิค ECOBLUE จะเป็นฟิล์มที่มีค่าการลดรังสีอินฟาเรดในแต่ละรุ่นมากกว่า 90% เป็นต้นไป เงาสะท้อนต่ำ ไม่มีปัญหาเรื่องรบกวนสัญญาณ (ยกเว้นบางรุ่น) สามารถเลือกความเข้มของฟิล์มได้หลากหลาย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะได้รับความสบายตลอดเวลาในการใช้งาน
ฟิล์มเซรามิคมีหลากหลายประสิทฺธิภาพ ถ้าสว่างเท่ากัน ฟิล์มเซรามิคที่มีค่าการลดรังสีอินฟาเรดมากกว่า จะให้ความรู้สึกที่เย็นกว่า แต่ไม่สามารถบอกความแตกต่างนี้ได้ด้วยตาเปล่า เบื้องต้นสามารถใช้สเปกโตโฟเตอร์มิเตอร์แบบพกพา วัดค่าการลดรังสีอินฟาเรดที่บางค่า ( 900,1400 nm) ฟิล์มเซรามิค ECOBLUE จะเป็นฟิล์มที่มีค่าการลดรังสีอินฟาเรด มากกว่า 90% ทำให้รู้สึกเย็นทุกขณะการขับขี่ ( ค่าคุณสมบัติอื่นๆ ปรึกษาผู้จำหน่าย )
รังสีอินฟาเรดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งในแสงแดดที่มาจากดวงอาทิตย์ พร้อมๆกับคลื่นแสงสว่าง คลื่นยูวี และคลื่นอืนๆ รังสีอินฟาเรดในแสงแดดอยู่ระหว่างช่วงคลื่น 750-2500 nm ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของพลังงานจากแสงแดด ประเด็นสำคัญคือรังสีอินฟาเรดมีผลต่อระบบประสาทรับรุ้ความรู้สึกร้อนของมนุษย์ โดยจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า รังสีอินฟาเรดทำให้โปรตีนที่ทำหน้าที่เปิดปิดการนำกระแสไฟฟ้าไปยังสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกร้อนให้ทำงาน ดังนั้นเมื่อฟิล์มเซรามิค ECOBLUE ลดอินฟาเรดได้มากสูงสุดถึง 99% จึงทำให้คนรู้สึกร้อนน้อยลงได้อย่างทันที แสงสว่างในแสงแดดสามารถเปลี่ยนเป็นความร้อนได้เช่นกันแต่ใช้เวลานานกว่า ดังนั้นการใช้ฟิล์มอีโค่บลูจึงให้ทั้งความสบายและความสว่างในการขับขี่ (ดูเพิ่มเติม Solar Radiation ใน internet)
ในทางทฤษฎี การศึกษาเรื่องการลดความร้อนจากแสงแดดของวัสดุ จะดูค่า สัมประสิทธิ SHGC solar heat gain coefficient และค่า U-value เป็นหลัก แต่เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจในด้านฟิล์มกรองแสง จึงได้มีการพิจารณา การลดความร้อนรวม ซึ่งเท่ากับค่า 1-SHGC อย่างไรก็ตามสำหรับฟิล์มเซรามิคที่เน้นในส่วนการลดรังสีอินฟาเรดใช้การระบุว่าฟิล์มสามารถลดรังสีอินฟาเรดได้สูงสุดเพียงใด ซึ่งโดยทั่วไปจะพิจารณาที่ค่าการลดรังสีอินฟาเรดที่ช่วงคลื่น 900 หรือ 1400 nm ฟิล์มเซรามิคที่ลดค่าอินฟาเรดได้มาก มีแนวโน้มให้ความสบายต่อความรู้สึกได้ดีกว่าฟิล์มที่ลดรังสีอินฟาเรดน้อย เนืองจากเหตุผลทางด้านระบบประสาทรับรู้ความรู้สึก แต่ไม่ได้หมายความว่า ในแง่ของการประหยัดพลังงานโดยรวม ฟิล์มเซรามิคที่ลดค่าอินฟาเรดได้มากกว่าจะประหยัดพลังงานได้มากกว่า เนื่องจากมีหลายองค์ประกอบในการพิจารณาการลดความร้อนรวจากแสงแดด ซึ่งหากต้องการค่าที่ถูกต้อง จะต้องทดสอบโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่อง Spectrophotometer ในการวัดค่าทางพลังงานต่างๆ (ดูหัวข้อ Heat Transfer ใน internet)
ปัจจุบัน การติดตั้งฟิล์มจะเลือกจากค่าความสว่าง ซึ่งไม่ได้มีมาตรฐานใดกำกับ โดยส่วนใหญ่จะใช้ 1) ค่า % แสงส่องผ่าน 2) ค่าความเข้ม
1) % ค่าแสงส่องผ่าน เป็นค่า % ช่วงคลื่นแสงสว่างที่ผ่านกระจกติดฟิล์มในช่วง 380-750 nm ที่ผ่านมาได้มากที่สุด ฟิล์มกรองแสงที่ใช้วัสดุต่างชนิดกัน จะให้ % ค่าแสงส่องผ่านสูงสุดได้เท่ากันแต่อาจจะคนละช่วงคลื่น เช่น ฟิล์ม A % แสงผ่านสูงสุด 40% ที่ช่วงคลื่น 650 nm แต่ฟิล์ม B มี % แสงผ่านสูงสุด 40% ที่ช่วงคลื่น 700 nm
2) ค่าความเข้ม เพื่อความง่ายและสะดวกในการติดตั้งจะใช้วิธีเรียกแบบความเข้ม เช่น ความเข้ม 40, 60 หรือ 80% ซึ่งเป็นการเลือกโทนหรือความเข้มฟิล์มแบบตร่าวๆเท่านั้น ซึ่งการเรียกความเข้มของฟิล์มติดรถยนต์ไว้ 3 ระดับ คือ 40/60/80 เป็นความเข้าใจผิด และควรเรียกความเข้มของฟิล์มโดยพิจารณาค่าแสงสว่างส่องผ่าน (Visible light transmission )VLT ระดับความเข้มของฟิล์มที่ระบุ 40/60/80 จะให้ช่วงแสงส่องผ่านในระดับประมาณนี้
ติดฟิล์มรถยนต์เข้ม 40 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 40-50 %
ติดฟิล์มรถยนต์เข้ม 60 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 18-20 %
ติดฟิล์มรถยนต์เข้ม 80 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 5-10 %
ดังนั้นทางบริษัทแนะนำให้เจ้าของรถดูตัวอย่างฟิล์มจริงก่อนติดตั้ง อย่างไรก็ตาม การดูตัวอย่างฟิล์มจริงกับการติดตั้งสามารถให้สีที่แตกต่างกันได้อันเนื่องมาจากผลกระทบจากความสว่างและเฉดสีของฟิล์มส่วนอื่นๆ
ยังมีความเข้าใจผิด ว่าติดฟิล์มลดอินฟาเรดมากๆดีๆ แล้วต้องไม่ร้อน คำตอบคือไม่จำเป็นเสมอไป
ในความเป็นจริง ฟิล์มทำหน้าที่ลดความร้อนเข้าสู่ตัวรถ และแอร์รถยนต์ทำหน้าที่ทำความเย็น เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ไม่เปิดแอร์ขับรถคงเหมือนอยู่ในเตาอบแน่นอน ดังนั้นแม้จะใช้ฟิล์มที่ดีที่สุดก็ยังคงร้อนได้ ถ้าแอร์ไม่ดี ปรับแอร์ไม่เหมาะสม แต่จะรู้สึกร้อนน้อยหรือมาก และระคายเคืองผิวมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องของระบบประสาทรับรู้ส่วนบุคคล แต่ละคนรู้สึกร้อนไม่เท่ากัน เช่น คนอ้วนร้อนง่ายกว่าคนผอม คนที่ทำงานต่างกันก็มีความรู้สึกร้อนได้ต่างกัน และรวมไปถึงความร้อนที่เข้าไปในรถยังมีผลมาจากรูปแบบโครงสร้าง มุมองศา วัสดุของรถแต่ละรุ่นด้วย แต่การใช้ฟิล์มเซรามิคที่ลดอินฟาเรดมากกว่า 95% ช่วยให้รู้สึกร้อนน้อยกว่า และเย็นเร็วกว่า
มีความเป็นไปได้น้อยมาก และต้องระบุว่าค่าความร้อนดังกล่าวคือค่าอะไร ใช้วิธีการวัดค่าอย่างไร ตามมาตรฐานไหน โดยเฉลี่ยฟิล์มที่แสงสะท้อนต่ำกว่า 10% แสงผ่าน 40% ค่าการลดความร้อนรวมสูงสุดประมาณ 50-60% ส่วนแสงสว่างที่ลดลงมีผลต่อการลดความร้อนรวมค่อนข้างน้อย ฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูถูกทดสอบด้วยการวัดค่าทางแสงและความร้อนตามมาตรฐาน ISO9050:1990(E) และ ISO 10292:1994(E) ด้วยเครื่องมือ Spectrophotometer Perkin Elmer Lamda 250
ในส่วนของการระบุค่าการลดรังสีอินฟาเรดอย่างง่ายจะเป็นการระบุเฉพาะจุดที่ช่วงคลื่น 900 หรือ 1400 nm แต่สามารถตรวจสอบกราฟสเปกตรัมของฟิล์มแต่ละชนิดได้เพื่อดูว่าฟิล์มสามารถลดอินฟาเรดในแต่ละจุดช่วงคลื่นอินฟาเรดได้มากน้อยเท่าไหร่
ความเข้าใจผิดที่แพร่หลายในการใช้สูตรคำนวณค่าความร้อนที่ฟิล์มลดได้คือ เช่น
100% -(0.43* %ค่าแสงส่องผ่าน + 0.54*%ค่าอินฟาเรดส่องผ่าน + 0.3*%ค่ายูวีส่องผ่าน)
ยกตัวอย่างเช่น ในเอกสารลงคุณสมบัติฟิล์ม แสงผ่าน 40% ลดอินฟาเรด 90%(= ผ่าน 10%) ลดยูวี 99% ค่าการลดความร้อนรวมจะเป็น
0.43x40% (=17.2%) + 0.54*10%(=5.4%) + 0.3*1%(=0.3) รวมเป็นลดความร้อนได้ 100-( 17.2 + 5.4 + 3) = 74.4%
ในความเป็นจริงฟิล์มสเป๊กนี้จะมีค่าการลดความร้อนประมาณ 50-55% เท่านั้น เกิดความผิดพลาดถึง 20-25%!!!
ซึ่งหากนำฟิล์มสเป๊คนี้ไปติดตั้งใช้จริง จะรู้สึกอุ่นๆ ไม่ได้เย็นอย่างที่ตัวเลขแจ้งไว้ เพราะสมการนี้เป็นคำนวณจากค่าการลดอินฟาเรด หรือแสงสว่างส่องผ่านที่ได้มาจาก เครื่องมือที่ใช้กันทั่วไป เป็นการวัดค่าแค่บางจุด ไม่ใช่ค่าทั้งหมดชองแสงอาทิตย์ จึงเกิดความผิดพลาดอย่างมาก
ดังนั้น ฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูที่ถูกทดสอบด้วยเครื่องมือมาตรฐานจึงให้ค่าการลดความร้อนที่ถูกต้องแม่นยำกว่า และนี่คือสาเหตุที่ทำไมค่าการลดความร้อนของอีโค่บลูน้อยกว่าฟิล์มอื่นๆ แต่ให้ความรู้สึกที่เย็นกว่า
"ไม่จริง” เนื่องจากปัจจุบัน ฟิล์มเซรามิคถูกเข้าใจผิดว่า ใช้แล้วจะเย็น จริงๆแล้วแบบไม่เป็นทางการ ฟิล์มเซรามิค วัดกันที่ ค่าการลดความร้อนรังสีอินฟาเรด ซึ่งจะแยกประสิทธิภาพคร่าวๆได้ประมาณนี้
50-70%=พอใช้ 70-80% =ปานกลาง 80-90% =ปานกลาง-ดี 95-99% =ดีมาก
การใช้ฟิล์มเซรามิคที่ 95% จะให้ความรู้สึกที่เย็น แตกต่างจากฟิล์มอื่นอย่างชัดเจน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าฟิล์มเซรามิคที่ติดตั้งไปเป็นเกรดไหน
ดูรหัสและสามารถวัดฟิล์มได้จากเครื่องมือที่มีอยู่ทีศุนย์ติดตั้งได้ทันที
ฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูรุ่น MAX VK ถูกเคลือบด้วยชั้นเงินและเซรามิคกว่า 9 ชั้นซึ่งทำให้มีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าฟิล์มเซรามิคอื่นๆนั่นคือ สามารถสะท้อนรังสีอินฟาเรด โดยที่ไม่สะท้อนแสงสว่าง อมความร้อนน้อย ลดความร้อนได้มากกว่าฟิล์มเซรามิคเทคโนโลยีอื่นๆที่ความสว่างใกล้เคียงกัน
ด้วยคุณสมบัติพิเศษของฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูรุ่น MAX VK ทำให้เกิดการรบกวนของสัญญาณสื่อสารของอุปกรณ์ชนิดต่างๆ รวมไปถึง การติดตั้งอาจเกิดคลื่นๆ หรือรอย"ฝ้าขาว" ในบางจุด เป็นผลเนื่องมาจากการใช้ความร้อนในการขึ้นรูปฟิล์มสำหรับรถยนต์ในบางรุ่นที่กระจกมีความโค้งมาก ซึ่งทางบริษัทถือว่าเป็นความปรกติในการติดตั้งและสงวนสิทธิในการเปลี่ยนฟิล์มให้ใหม่่จากเหตุดังกล่าว