การลดความร้อน กระจก LAMKOOL เปรียบเทียบกัย กระจก LOW E และ IG/Low E
การเปรียบเทียบในที่นี้ จะเปรียบกับ กระจก LOW-E ชนืด Hardcoat - Low-E บนกระจกใส หนา 3 มม เท่านั้น
โดยการเปรียบเทียบ จะมี 3 ส่วน คือ 1. การลดความร้อนจากแสงแดด 2. ความร้อนจากอากาศร้อนผ่านเนื้อกระจก และ 3. การลดความร้อนโดยรวม
จากตารางหน้า
ค่า SHGC , ค่า U % และความร้อนผ่านกระจกที่คำนวณได้จากการจำลอง ของกระจกทั้ง 3 ชนิด มีดังนี้
LAMKOOL(LKF360): SHGC = 0.46, 5.6, 104
Low-E: SHGC = 0.71,4.3, 138
IG Low-E (6+air6+6): SHGC = 0.66, 2.5, 121
1. หากดูการลดความร้อนผ่านแสงแดดอย่างเดียว
LAMKOOL ดีกว่า IG-Low-E ดีกว่า Low-E
2. หากดูการลดความร้อนผ่านเนื้อกระจกอย่างเดียว
IG Low-E ดีกว่า Low-E ดีกว่า Lamkool
3. ดูการลดความร้อนรวมทั้ง 2 อย่าง จะพบว่า
LAMKOOL ดีกว่า IG-Low-E ดีกว่า Low-E
LAMKOOL ดีกว่า IG Low-E 15%
LAMKOOL ดีกว่า Low-E 25%
นั่นคือสาเหตุทำไมจึงควรใช้ กระจก LAMKOOL เป็นผนังอาคารเพื่อการลดความร้อน
กระจก LAMKOOl ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้สำหรับอาคาร ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่พักอาศัยทั่วไป อาคารประหยัดพลังงาน หรืออาคารเขียวโดยเฉพาะ โดยประสิทธิภาพการลดความร้อความร้อนของกระจก LAMKOOL สามารถปรับแต่งไปตามความต้องการของผู้ออกแบบ และความเหมาะสมกับความจำเป็นของอาคารนั้นๆ
เช่นสำหรับอาคารสูง กระจก LAMKOOL สามารถออกแบบให้มีค่า SHGC ต่ำกว่า 0.3 ได้ในขณะที่ยังให้ความสว่างมากถึง 50% โดยเงาสะท้อนตำกว่า 20%
เมื่อออกแบบหรือขณะสร้างอาคาร เจ้าของอาคารอาจมองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องการคุณสมบัติการลดความร้อน แต่กว่า 70% เจ้าของอาคารจะประสบกับปัญหาความร้อนจากแสงแดดในภายหลัง และจำเป็นต้องติดตั้งฟิล์มกรองแสงเพิ่มเติม ซึ่งฟิล์มคุณภาพดีมีราคาสูง
ประสิทธิภาพการลดความร้อนของกระจก LAMKOOL นั้นเทียบเท่าได้กับประสิทธิภาพของฟิล์มกรองแสงเซรามิคเกรดพรีเมี่ยมที่ลดรังสีความร้อนในแสงแดดได้ 96% ขึ้นไป
ดังนั้นทางบริษัทจึงแนะนำให้ลูกค้าที่สร้างอาคารใช้กระจกชนิดนี้หากลักษณะอาคารมีผลกระทบจากแสงแดด เนื่องจากการใช้กระจกตั้งแต่ก่อสร้างจะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการติดตั้งฟิล์มเซรามิคเกรดพรีเมี่ยมในภายหลัง
รวมไปถึงอายุการใช้งาน การดูแลรักษาของกระจกที่ทนทานและยาวนานกว่าฟิล์ม
ประสิทธิภาพการลดความร้อนของกระจก LAMKOOL นั้นเทียบเท่าได้กับประสิทธิภาพของฟิล์มกรองแสงเซรามิคเกรดพรีเมี่ยมที่ลดรังสีความร้อนในแสงแดดได้ 96% ขึ้นไป
ดังนั้นทางบริษัทจึงแนะนำให้ลูกค้าที่สร้างอาคารใช้กระจกชนิดนี้หากลักษณะอาคารมีผลกระทบจากแสงแดด เนื่องจากการใช้กระจกตั้งแต่ก่อสร้างจะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการติดตั้งฟิล์มเซรามิคเกรดพรีเมี่ยมในภายหลัง
รวมไปถึงอายุการใช้งานของกระจกที่ยาวนานกว่าฟิล์ม
หากต้องการทราบราคาโดยประมาณสามารถทำได้โดยวัดขนาดกระจกแต่ละบาน ในแต่ละชุด และจำนวน เช่น กระจกบานเลื่อน 1 ชุด มีบานเลื่อนกลาง 2 บาน และบานติดตาย 2 บาน วัดขนาดบานเลื่อนกลาง ได้ 50x100 = 2 บาน ขนาดบานติดตายได้ 50x110 =1 บาน และ 45x108=1 บาน หรือส่งแบบขยายประตูหน้าต่างตามตัวอย่างรูปด้านบน มาที่
ส่งรายละเอียดมาที่ email: atsyscompany@gmail.com
พร้อม ชื่อ และเบอร์ติดต่อกลับ เมื่อทางบริษัทเมื่อได้รับข้อมูลจะติดต่อท่านกลับไป หากท่านไม่ให้เบอร์ติดต่อกลับ ท่านอาจจะไม่ได้รับอีเมล์เนื่องจากอีเมล์ของบริษัทอาจจะถูกส่งเข้าไปใน junk mail ของท่าน
ผู้ใช้สามารถเลือกความปลอดภัยของกระจกกันภัย Lamkool ได้หลายระดับโดยเริ่มต้นจากความหนา 6.4 มมซึ่งเป็นระดับนิรภัยลดโอกาสการบุกรุกเบื้องต้น หรือสามารถเพิ่มความหนาเป็น 6.8 มมสำหรับการลดโอกาสการบุกรุกที่มากขึ้น หรือ 7.2 มม ซึ่งระดับความปลอดภัยสูงขึ้น โดยทั่วไปกระจกกันภัย Lamkool ที่ผลิตจากกระจกและชั้น PVB นั้น ที่ความหนา 6.4 มม มีความปลอดภัยตามมาตรฐาน ANSI Z97.1 และความหนา 6.8 และ 7.2 มม มีความปลอดภัยตามมาตรฐาน CPSC CFR และ UL972
กระจกนิรภัยลดความร้อน Lamkool:
คุณสมบัติที่ครบถ้วนทั้งความปลอดภัยและความประหยัด
กระจก LAMKOOL คือกระจกที่ผสมผสานนาโนเทคโนโลยีเข้ากับเทคโนโลยีกระจกนิรภัยทำให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ในแผ่นเดียวกัน
Lamkool สามารถลดโอกาสการบุกรุกโจรกรรมได้ด้วยชั้นฟิล์มนาโนเซรามิกโพลีเมอร์ที่ทำหน้าที่ยึดชั้นกระจกแตกเอาไว้แม้ว่าจะถูกแรงกระแทกอย่างรุนแรงจากภายนอก ทำให้กระจกแตกสามารถรองรับแรงกระแทกได้หลายครั้ง ถึงแม้กระจกจะแตกไปแล้ว
ผู้ใช้ยังสามารถเลือกเสริมความแข็งแรงได้ด้วยการติดตั้งโพลีเมอร์ i-GARD SAFECOAT ด้านในได้อีกชั้น เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความปลอดภัย